ภูมิคุ้มกันกับสุขภาพช่องปาก: เกราะป้องกันที่คุณต้องใส่ใจ

ร่างกายของเรามีระบบภูมิคุ้มกันเปรียบเสมือนกองทัพที่คอยปกป้องเราจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม  เมื่อกองทัพนี้แข็งแรง เราก็จะมีสุขภาพดี แต่เมื่อใดที่อ่อนแอลง ปัญหาสุขภาพต่างๆ ก็ตามมาได้ง่าย รวมถึงปัญหาใน “ช่องปาก” ซึ่งเป็นประตูด่านแรกสู่ร่างกายของเรา  

ทำความ รู้จักภาวะภูมิคุ้มกันของตัวเรา

“ภาวะภูมิคุ้มกันตก” หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ภูมิตก” เป็นคำที่ใช้เพื่ออธิบายถึงสภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพหรืออ่อนแอลงชั่วคราว  ไม่ใช่คำวินิจฉัยทางการแพทย์ที่เป็นทางการ แต่ภาวะนี้สะท้อนถึงช่วงเวลาที่ร่างกายมีความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรค ไวรัส หรือสิ่งแปลกปลอมลดลง ส่งผลให้ป่วยบ่อย ฟื้นตัวช้า และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้น โดยทั่วไประดับการลดลงของภูมิคุ้มกันจะไม่รุนแรงและสามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติได้

สาเหตุที่พบบ่อย

ภาวะภูมิตกมักเกิดจากปัจจัยภายนอกและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้:

ปัจจัยด้านพฤติกรรม:

  • ความเครียดสะสม: ความเครียดเรื้อรังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ: การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบต่างๆ รวมถึงระบบภูมิคุ้มกัน การพักผ่อนไม่เพียงพอจึงส่งผลกระทบโดยตรง
  • โภชนาการที่ไม่เหมาะสม: การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ขาดสารอาหารที่จำเป็น หรือบริโภคน้ำตาลเชิงเดี่ยวในปริมาณมากเกินไป เช่น ของหวานและน้ำหวาน สามารถทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงได้
  • การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
  • การขาดการออกกำลังกาย: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการติดเชื้อไวรัส:

  • มลภาวะ: การสัมผัสกับฝุ่นควันและมลพิษทางอากาศสามารถเป็นตัวกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงได้
  • การติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) โมโนนิวคลีโอซิส (Mononucleosis) สามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเป็นระยะเวลาสั้นๆ หลังการติดเชื้อ

สัญญาณเตือนว่าภูมิตก

อาการของภาวะภูมิตกมักไม่จำเพาะเจาะจงและอาจคล้ายคลึงกับอาการเจ็บป่วยทั่วไป แต่จะเกิดขึ้นบ่อยครั้งหรือมีความรุนแรงกว่าปกติ สัญญาณเตือนที่พบบ่อย ได้แก่:

  • การเจ็บป่วยและติดเชื้อบ่อย: เป็นหวัด เจ็บคอ หรือท้องเสียบ่อยกว่าปกติ และอาจติดเชื้อซ้ำๆ แม้เพิ่งหายป่วย
  • รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียตลอดเวลา แม้จะพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้วก็ตาม
  • แผลหายช้ากว่าปกติ: บาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ใช้เวลานานกว่าปกติในการสมานตัว

“ภาวะภูมิคุ้มกันตก” “ภูมิคุ้มกันบกพร่อง” แตกต่างกันอย่างไร?

ในขณะที่ “ภูมิตก” เป็นภาวะชั่วคราว แต่ “ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง” (Immunodeficiency) เป็นศัพท์ทางการแพทย์ที่หมายถึง โรคหรือภาวะทางคลินิก ที่ระบบภูมิคุ้มกันมีความผิดปกติอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและมะเร็งได้อย่างที่ควรจะเป็น  

ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก:

ภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ (Primary Immunodeficiencies – PIDs):

เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือเป็นมาแต่กำเนิด ทำให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่ายตั้งแต่วัยเด็ก  

ภูมิคุ้มกันบกพร่องทุติยภูมิ (Secondary or Acquired Immunodeficiencies):

พบได้บ่อยกว่า PIDs โดยเกิดขึ้นในภายหลังเมื่อมีปัจจัยภายนอกเข้ามารบกวนหรือทำลายระบบภูมิคุ้มกันที่เคยทำงานเป็นปกติ เช่น การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งนำไปสู่โรคเอดส์ (AIDS) โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคเบาหวาน  โรคไตวาย เป็นต้น

เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอ… ช่องปากกำลังบอกอะไร??

ช่องปากเป็นเหมือน “กระจก” ที่สะท้อนสุขภาพของระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง สมดุลของจุลินทรีย์ในช่องปากจะเสียไป ทำให้เชื้อที่ปกติไม่ก่อโรคสามารถเพิ่มจำนวนและก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ที่รุนแรงกว่าคนทั่วไปได้  

สัญญาณในช่องปากที่พบบ่อย ในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง:

  • โรคราแคนดิดาในช่องปาก (Oral Candidiasis หรือ Thrush): เป็นการติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง มักมีลักษณะเป็นฝ้าขาวคล้ายนมบูดบนลิ้น เพดานปาก หรือกระพุ้งแก้ม ซึ่งสามารถขูดออกได้และจะเห็นพื้นผิวข้างใต้เป็นสีแดง อาจมีอาการเจ็บแสบ
  • แผลในปาก (Oral Ulcers): อาจเป็นแผลร้อนใน (Aphthous ulcer) ที่เกิดขึ้นบ่อยกว่าปกติ มีขนาดใหญ่กว่า และคงอยู่นานกว่าคนทั่วไป หรืออาจเป็นแผลจากการติดเชื้อไวรัสเริม (Herpes) ที่กำเริบได้ง่ายและรุนแรง
  • โรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ (Gingivitis and Periodontitis): ผู้ป่วยมักแสดงอาการของโรคปริทันต์ที่รุนแรงกว่าคนปกติ แม้จะมีคราบจุลินทรีย์ในระดับที่เท่ากัน อาการรวมถึงเหงือกอักเสบอย่างรุนแรง การสูญเสียกระดูกเบ้าฟันอย่างรวดเร็ว และการสูญเสียฟันก่อนวัยอันควร 

หากคุณพบอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง รุนแรง หรือมีหลายอาการร่วมกัน ควรปรึกษาแพทย์และทันตแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ซ่อนอยู่ได้

การดูแลช่องปาก (ฉบับประชาชน) เมื่อภูมิคุ้มกันไม่เป็นใจ

การดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอและพิถีพิถัน คือ กุญแจสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2–3 ครั้ง โดยเฉพาะหลังอาหารและก่อนนอน
  • ใช้ไหมขัดฟันวันละ 1 ครั้ง อย่างนุ่มนวล เพื่อทำความสะอาดซอกฟัน
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่บั่นทอนระบบภูมิคุ้มกัน เช่น การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • เสริมสร้างสุขภาพโดยรวม เช่น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • หากพบสัญญาณเตือนในช่องปาก ที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรพบแพทย์หรือทันตแพทย์ เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติม

หากคุณเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกับบกพร่อง หรือกำลังจะได้รับการรักษาที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน เช่น เคมีบำบัด ฉายรังสีบริเวณศีรษะและลำคอ หรือการปลูกถ่ายอวัยวะ ควรรักษาสุขอนามัยช่องปากอย่างเคร่งครัด  และไปพบทันตแพทย์เพื่อรับการตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ และรับการรักษาเพื่อกำจัดแหล่งติดเชื้อที่อาจซ่อนอยู่ เพราะหากปล่อยไว้ อาจกลายเป็นการติดเชื้อที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

บทความและข้อมูลความรู้ทางทันตกรรมโดย

ผศ.ทพญ.ภัทรนฤน กาญจนบุษย์

อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ช่องปาก