ผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการเคี้ยวอาหาร จะส่งผลต่อสุขภาพช่องปากอย่างไรบ้าง และวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ที่มีปัญหานี้ต้องดูแลสุขภาพช่องปากอย่างไร?

Posted date:

ปัญหาการเคี้ยวอาหารในผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่พบบ่อยและมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพโดยรวม สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้สูงอายุมีปัญหาการเคี้ยวอาหารมาจากหลายปัจจัย ได้แก่

  1. การสูญเสียฟัน:
    เมื่อไม่มีฟันหรือมีฟันเหลืออยู่น้อย ทำให้ประสิทธิภาพในการเคี้ยวอาหารลดลงอย่างมาก
  2. โรคปริทันต์ (โรคเหงือก):
    โรคนี้ทำให้กระดูกรอบรากฟันถูกทำลาย ฟันจึงโยกคลอนและไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่
  3. ฟันผุและรากฟันผุ:
    เมื่อฟันผุเป็นรูลึกจะทำให้เกิดอาการเสียวฟันหรือปวดฟัน ทำให้ไม่อยากใช้ฟันซี่นั้นเคี้ยวอาหาร
  4. การใส่ฟันปลอมที่ไม่เหมาะสม ฟันปลอมที่หลวมหรือมีขนาดไม่พอดีจะทำให้เกิดอาการเจ็บเหงือก ทำให้ไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. ภาวะน้ำลายแห้ง (Xerostomia) น้ำลายมีบทบาทสำคัญในการหล่อลื่นและชะล้างเศษอาหาร เมื่อมีภาวะน้ำลายแห้งจะทำให้การเคี้ยวและกลืนลำบากขึ้น
  6. โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคทางระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคี้ยวทำงานได้ไม่ปกติ

ปัญหาการเคี้ยวอาหารส่งผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุในหลายมิติ:

  1. การสะสมของเศษอาหาร เมื่อเคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียด ทำให้มีเศษอาหารขนาดใหญ่ติดค้างตามซอกฟันและฟันปลอมได้ง่ายขึ้น เป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฟันผุและโรคเหงือก
  2. การใช้งานฟันไม่สมดุล ผู้สูงอายุบางรายอาจเลือกเคี้ยวอาหารข้างที่ไม่มีปัญหา ทำให้ฟันข้างเดียวถูกใช้งานหนักเกินไปจนเกิดการสึกหรอ และยังส่งผลต่อข้อต่อขากรรไกรในระยะยาว
  3. ผลกระทบต่อระบบย่อยอาหาร เมื่อเคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียด ทำให้เกิดภาวะท้องอืด ท้องเฟ้อได้ง่าย และส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายโดยรวม

การดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาการเคี้ยวอาหาร ควรเน้นการฟื้นฟูและป้องกันควบคู่กันไป ดังนี้

  1. การทำความสะอาดช่องปากที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ
    • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์
    • ใช้ไหมขัดฟัน เพื่อทำความสะอาดซอกฟันที่แปรงเข้าไม่ถึง
  2. การดูแลฟันปลอมถอด
    • ฟันปลอมทุกคืน
    • ทำความสะอาดฟันปลอมทุกวัน
    • แช่ฟันปลอมในภาชนะที่สะอาด
  3. การเลือกชนิดของอาหาร
    • เลือกอาหารอ่อนนุ่ม ที่ไม่ต้องใช้แรงเคี้ยวมาก เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ปลา เนื้อสัตว์สับละเอียด ผักต้มเปื่อย และผลไม้ที่ไม่แข็ง
    • หั่นอาหารเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อช่วยลดภาระในการเคี้ยว
    • หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง กรอบ เหนียว เช่น ถั่ว ข้าวเหนียว ขนมขบเคี้ยวที่แข็ง
  4. การพบทันตแพทย์เป็นประจำ
    • ตรวจสุขภาพช่องปากทุก 6 เดือน เพื่อตรวจหาปัญหาฟันผุ โรคเหงือก หรือปัญหาของฟันปลอม
    • รับคำแนะนำการรักษาที่เหมาะสม เช่น การอุดฟัน การรักษารากฟัน การใส่ฟันปลอมใหม่ หรือการรักษาด้วยรากฟันเทียม เพื่อฟื้นฟูความสามารถในการบดเคี้ยว

ข้อมูลความรู้ทางทันตกรรมโดย

ผศ.ทพ.ดร.ณภัทร นะลำเลียง

อาจารย์ประจำภาควิชาทันตกรรมบดเคี้ยว
คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย