รู้ไหมว่า “ความเครียด” สามารถส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพช่องปากได้!?! แล้วจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร!?!
ความเครียด
ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพช่องปาก
ผ่านกลไกทางร่างกาย
และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
ทางกายภาพ
ทางกายภาพ ความเครียดมักกระตุ้นให้เกิด “การนอนกัดฟัน” (Bruxism) โดยไม่รู้ตัว ทำให้ฟันสึกกร่อน แตกหัก และเกิดอาการปวดข้อต่อขากรรไกรได้ นอกจากนี้ ฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอลยังกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เหงือกอักเสบและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
ทางพฤติกรรม
ส่วน ทางพฤติกรรม ผู้ที่เครียดมักจะละเลยการดูแลความสะอาดช่องปาก รับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงเพื่อปลอบใจ และอาจสูบบุหรี่มากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เร่งให้เกิดฟันผุและโรคเหงือกรุนแรง
ในมุมมองของทันตแพทย์ การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในช่องปากควบคู่ไปกับการให้ความรู้แก่คนไข้ ทันตแพทย์จะวินิจฉัยจากร่องรอยการสึกของฟัน สภาพเหงือกที่อักเสบ และซักประวัติเกี่ยวกับความเครียด การรักษาที่สำคัญคือการทำ เฝือกสบฟัน (Night Guard) เพื่อป้องกันความเสียหายจากการนอนกัดฟัน การขูดหินปูนและรักษาโรคเหงือกที่กำเริบขึ้น รวมถึงการอุดฟันหรือบูรณะฟันที่ได้รับความเสียหาย การรักษาเหล่านี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพื่อหยุดยั้งความเสียหายไม่ให้ลุกลามต่อไป
หัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหาระยะยาวคือ การจัดการกับต้นตอของความเครียด ทันตแพทย์จะมีบทบาทในการเป็นผู้ให้คำแนะนำ โดยจะอธิบายให้คนไข้เข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่างความเครียดกับสุขภาพช่องปากที่แย่ลง เพื่อสร้างความตระหนักรู้ พร้อมทั้งแนะนำแนวทางการผ่อนคลายเบื้องต้น เช่น การออกกำลังกาย หรือการทำสมาธิ และเน้นย้ำให้พยายามรักษาวินัยในการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันแม้จะอยู่ในภาวะเครียดก็ตาม หากปัญหานั้นรุนแรง ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อจัดการความเครียดได้อย่างตรงจุดต่อไป
ข้อมูลความรู้ทางทันตกรรมโดย
รศ.ทพญ.ดร. นิธิมา เสริมสุธีอนุวัฒน์
อาจารย์สังกัดฝ่ายวิชาการ
คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กลับไปที่หน้าหลัก
ความรู้ทางทันตกรรม
